[Free] จังหวัดไหนในไทยมีฝุ่น PM2.5 สูงที่สุด? สรุปปี 2568

Discussion in 'เครื่องใช้ไฟฟ้า, เกม และความบันเทิง' started by แนนซี่ บรา, Nov 20, 2025 at 2:01 PM.

< Previous Thread | Next Thread >
  1. แนนซี่ บรา

    แนนซี่ บรา New Member Member

    1
    0
    1
    ฝุ่น PM2.5 กลายเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพชุมชน เศรษฐกิจ และภาพลักษณ์เมืองเพิ่งโดยเฉพาะในฤดูแล้ง แต่หลายคนอาจสงสัยว่า “จังหวัดไหนหนักสุด?” ระหว่าง กรุงเทพฯ หรือ เชียงใหม่ ใครเป็นแชมป์จริง? ในบทความนี้เราจะพาไปสำรวจข้อมูลล่าสุด วิเคราะห์อันดับมลพิษ (AQI-PM2.5) รายจังหวัด พร้อมสาเหตุเบื้องหลัง และแนวทางแก้ไข

    [​IMG]

    ภาพรวมสถานการณ์ PM2.5 ในไทย
    • ปัจจุบัน ฝุ่น PM2.5 ถูกยอมรับว่าเป็นหนึ่งในมลพิษที่อันตรายต่อสุขภาพมากที่สุด เพราะอนุภาคเล็กสามารถแทรกซึมลึกลงในปอดและเข้าสู่กระแสเลือดได้
    • ตามรายงานของ กรมอนามัย มีหลายจังหวัดใน 30 เขตสุขภาพ (รวมกรุงเทพ-ปริมณฑล) เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง และกรมอนามัยได้จัดตั้ง “ห้องปลอดฝุ่น” (clean room) ในโรงพยาบาลหลายแห่งเพื่อรองรับประชาชนกลุ่มเสี่ยง
    • ในระดับนโยบาย รัฐบาลและหน่วยงานสิ่งแวดล้อมวางแผนยุทธศาสตร์รับมือฝุ่น PM2.5 ประจำปีแล้ว โดยมุ่งลดผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและภาคการท่องเที่ยว
    อันดับจังหวัด / เมืองที่มีปัญหาฝุ่น PM2.5 หนักที่สุด
    การจัดอันดับเมืองหรือจังหวัดที่มี PM2.5 สูงสุดในไทยนั้นมีหลายแหล่งข้อมูล — หนึ่งในนั้นคือ Greenpeace ซึ่งเคยจัดอันดับเมืองไทยที่มีปัญหามลพิษ PM2.5 บ่อยครั้ง โดยอิงตามข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ (PCD)

    ในรายงานของ Greenpeace:

    • เมือง/อำเภอที่มักติดอันดับฝุ่น PM2.5 หนาหนัก ได้แก่ เชียงใหม่ (อำเภอเมือง), ลำปาง (แม่เมาะ), ขอนแก่น, กรุงเทพฯ (เขตดินแดง), และ สมุทรสาคร
    • แม้เกณฑ์มาตรฐานอากาศของไทยจะกำหนดค่าเฉลี่ยรายปีของ PM2.5 ที่ 25 µg/m³ แต่หลายเมืองไทยยังเกินเกณฑ์นี้ และเกินมาตรฐานแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่เข้มงวดกว่า
    นอกจากนี้ ในรายงานข่าวของ TNN วันที่ 31 มกราคม 2568 ระบุว่า

    • GISTDA รายงานค่าฝุ่น PM2.5 ในเช้าวันนั้นพบ กรุงเทพมหานคร ทุกเขตอยู่ในระดับ “แดง” (ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ) โดยตัวเลขบางเขตเกิน 100 µg/m³ ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานอย่างมาก
    • ข้อมูลจาก สำนักงานสาธารณสุข อ้างว่ามีมากกว่า 40 จังหวัดที่มีค่าฝุ่นเกินมาตรฐานในบางช่วงเวลา
    ในข่าวจาก ฐานเศรษฐกิจ ประจำวันที่ 26 ม.ค. 2568 ระบุว่า ณ เวลาเช้า “สิงห์บุรี” และ “มหาสารคาม” เป็น 2 จังหวัดที่มีค่าฝุ่น PM2.5 สูงสุดของประเทศในวันนั้น

    การลดระดับฝุ่น PM2.5 ในระดับพื้นที่บางส่วนสามารถช่วยได้ด้วยการใช้ เครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่สำหรับภายนอกอาคาร ที่สามารถครอบคลุมพื้นที่ประมาณครึ่งสนามฟุตบอล และสามารถดักจับอนุภาคขนาดเล็ก 0.3 ไมครอน ซึ่งเล็กกว่า PM2.5 และ PM10 เหมาะสำหรับการใช้งานเป็น เครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่ หรือ เครื่องกรองอากาศขนาดใหญ่ ในพื้นที่ชุมชนและกลางแจ้งบางประเภท

    ใครเป็นแชมป์จริง: กรุงเทพฯ VS เชียงใหม่
    เชียงใหม่
    • เชียงใหม่มักถูกพูดถึงบ่อยในฐานะเมือง “มลพิษหนัก” โดยเฉพาะช่วงหน้าแล้ง (กุมภาพันธ์-เมษายน) เนื่องจากการเผาในพื้นที่ชนบท (ฟาง ข้าว อ้อย) และไฟป่าในป่าเขตร้อน ซึ่งทำให้ PM2.5 พุ่งสูงมากเป็นประจำ
    • จากข้อมูล Greenpeace เชียงใหม่ (อำเภอเมือง) เคยติดอันดับเมือง PM2.5 หนาแน่นสูงสุดในไทยหลายครั้ง
    กรุงเทพมหานคร
    • แม้กรุงจะไม่มีไฟป่าขนาดใหญ่เหมือนภาคเหนือ แต่การจราจรหนาแน่น (รถยนต์, ไอเสีย) โรงงานอุตสาหกรรม และการปล่อยก๊าซจากแหล่งต่าง ๆ ทำให้ PM2.5 สูงเป็นประจำ
    • ในปีล่าสุด (ข้อมูล GISTDA) มีหลายเขตของกรุงเทพที่ขึ้นเป็น “สีแดง” (ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ) และมีค่าฝุ่นเกิน 90 µg/m³ ในบางเขต
    • ข้อมูลการวิจัยยังชี้ให้เห็นว่าหนึ่งในแหล่งปัญหาในกรุงเทพและปริมณฑลคือ โรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิล ซึ่งปล่อยสารมลพิษที่เกี่ยวข้องกับ PM2.5 อย่าง NOx สูงมาก
    สรุปแชมป์
    • ถ้าวัดแบบ “ความอันตรายตามเวลาเฉลี่ยหน้าแล้ง” เชียงใหมน่าจะเป็นแชมป์
    • แต่ถ้าวัดแบบ “ความอันตรายแบบรายชั่วโมง / เขตเมืองใหญ่” กรุงเทพก็ไม่แพ้ — บางเขตของกรุงเทพมีค่าฝุ่นสูงสุดในประเทศในบางวัน
    [​IMG]

    จังหวัดอื่น ๆ ที่หลายคนอาจไม่คาดคิดว่า “มลพิษหนัก”
    • สิงห์บุรี และ มหาสารคาม — เคยมีรายงานวันเดียวว่าค่าฝุ่น PM2.5 สูงสุดในประเทศ (ฐานเศรษฐกิจ)
    • สมุทรสาคร, นนทบุรี, อยุธยา, อ่างทอง — เป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีรายงานค่าฝุ่นเกินมาตรฐานบ่อยครั้ง โดย GISTDA ระบุว่าบางจังหวัดอยู่ใน “สีแดง” ตอนเช้า
    • ลำปาง (แม่เมาะ) — ตามรายงาน Greenpeace เมืองแม่เมาะลำปางเคยอยู่ในลิสต์เมือง PM2.5 หนาแน่นสูงสุดในอดีต
    ทำไมบางจังหวัดฝุ่นเยอะ แต่คนยังไม่รู้ / ตื่นตัวน้อย
    การตรวจวัดยังไม่ครอบคลุม
    • แม้กรมควบคุมมลพิษ (PCD) และหน่วยงานต่าง ๆ จะขยายเครือข่ายสถานีตรวจวัด PM2.5 แต่ปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมทุกอำเภอ/ทุกจังหวัดอย่างเต็มที่
    • ในบางพื้นที่ ข้อมูลที่คนทั่วไปเข้าถึงได้อาจเป็นข้อมูลดาวเทียมหรือแบบรายชั่วโมง ซึ่งไม่สะท้อนภาพรวมรายปี
    มาตรฐานคุณภาพอากาศของไทย vs WHO
    • มาตรฐาน PM2.5 ของไทย (ที่ 25 µg/m³ รายปี) ยัง “อ่อนกว่า” มาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) โดย WHO แนะนำให้ต่ำกว่า 10 µg/m³
    • ดังนั้น แม้บางจังหวัด “เกินมาตรฐานไทย” แต่คนอาจไม่รู้ว่ายังอันตรายมากกว่าที่ควร
    การรายงานตามสื่อและการรับรู้ของประชาชน
    • เมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพ เชียงใหม่ มักเป็นประเด็นข่าวฝุ่น เพราะประชากรเยอะและผลกระทบชัดเจน
    • จังหวัดเล็กหรือชนบทที่ค่าฝุ่นสูง อาจไม่ได้รับการพูดถึงในสื่อหลักมาก จึงไม่เป็นที่รับรู้ของประชาชนวงกว้าง
    ปัจจัยภูมิอากาศและการเผา
    • สภาพภูมิอากาศในแต่ละภูมิภาค เช่น ลม ความชื้น หรือความแห้งแล้ง มีผลต่อการสะสมของฝุ่น
    • การเผาในภาคเหนือ (ไฟป่า / เกษตร) เป็นปัจจัยสำคัญในจังหวัดอย่างเชียงใหม่ ลำปาง แต่ในภาคกลางหรือภาคตะวันออกอาจมีแหล่งกำเนิดฝุ่นจากกิจกรรมอุตสาหกรรมหรือล้อจราจร
    แนวทางแก้ปัญหาและข้อเสนอแนะ
    • ขยายเครือข่ายตรวจวัด PM2.5 ให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัดที่รายงานค่าฝุ่นสูง แต่ไม่มีสถานีวัดถาวร
    • สื่อสารข้อมูลให้ประชาชนเข้าถึงง่าย ผ่านแอปพลิเคชัน (เช่น Air4Thai) เว็บไซต์ หรือแพลตฟอร์มชุมชน
    • บังคับใช้กฎหมายด้านการปล่อยมลพิษ โดยเฉพาะในเขตเมือง: โรงงาน แหล่งจราจร และโรงไฟฟ้า
    • ส่งเสริมพลังงานสะอาด ลดการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล และสนับสนุนเทคโนโลยีสะอาด
    • พัฒนาพื้นที่ “ห้องปลอดฝุ่น” ในสถานพยาบาล โรงเรียน หรือชุมชน เพื่อให้กลุ่มเสี่ยง (เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย) มีจุดปลอดภัยในช่วงวิกฤตฝุ่น
    • ให้ความรู้และส่งเสริมพฤติกรรมป้องกัน เช่น การใช้หน้ากาก N95 การลดกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงฝุ่นสูง
    บทสรุป
    • ไม่มี “แชมป์ฝุ่น” แบบชัดเจนตลอดปี — เชียงใหม่มักมาแรงในช่วงเวลาที่สภาพอากาศแห้ง แต่กรุงเทพฯ ก็มีระดับฝุ่นสูงในหลายเขต
    • จังหวัดอื่น ๆ อย่างสิงห์บุรี มหาสารคาม สมุทรสาคร ฯลฯ ก็เคยมีค่าฝุ่น PM2.5 สูงในบางช่วง แต่อาจไม่ได้รับความสนใจเท่าเมืองใหญ่
    • ความสำคัญของการแก้ปัญหา PM2.5 ในไทยไม่ใช่แค่เรื่อง “จังหวัดไหนแย่กว่า” แต่คือ “ทุกจังหวัดควรตื่นตัว” — และต้องมีมาตรการร่วมกันระหว่างภาครัฐ ประชาชน และภาคเอกชน
    สำหรับการจัดการคุณภาพอากาศในพื้นที่เปิดโล่งหรือบริเวณชุมชนหนึ่งในทางเลือกที่ช่วยลดปริมาณฝุ่นได้ คือการใช้ เครื่องฟอกอากาศ PM2.5 สำหรับภายนอกอาคาร ที่ออกแบบมาให้ทำงานได้ในพื้นที่โล่ง สามารถดักจับอนุภาคขนาดเล็ก 0.3 ไมครอน ซึ่งเล็กกว่า PM2.5 และ PM10 อากาศที่ออกมาจะผ่านการฆ่าเชื้อโรคด้วยระบบ UVGI ทำให้อากาศสะอาด และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เหมาะสำหรับใช้งานเป็นเครื่องฟอกอากาศนอกอาคารในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงด้านมลพิษฝุ่นสูง
     
< Previous Thread | Next Thread >

Users Who Have Read This Thread (Total: 1)

Share This Page